วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 2


        เนื่องจาก เข้าใจผิดเกี่ยวกับการสร้างบล็อกในตอนแรก เลยทำให้มีบล็อก บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 2 ไม่ได้รวมอยู่กับเพื่อน อาจารย์สามารถตรวจสอบการบันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 2 ได้จากลิ้งด้านล่างค่ะ
http://u55113400176.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 10

ความรู้ที่ได้รับ


การเขียนโครงการ
  
          การเขียนโครงการ คือ การทำกิจกรรมโดยต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์

ลักษณะของโครงการ

       1. ต้องมีระบบ
       2. ต้องมีวัตุถุประสงค์ชัดเจน
       3.  ต้องเป็นการดำเนินงานในอนาคต
       4.  เป็นการทำงานชั่วคราว
       5.  มีการกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน
       6.  มีลักษณะเป็นงานที่เร่งด่วน
       7.  ต้องมีต้นทุนการผลิตต่ำ
       8. มีการริเริ่มหรือพัฒนางาน

องค์ประกอบโครงการ

      ชื่อโครงการ    อ่านแล้วต้องรู้เลยว่าทำอะไร

      หน่วยงานที่รับผิดชอบ  ระบุหน่วยงานต้นสังกัดที่จัดทำโครงการ

     ผู้รับผิดชอบโครงการ ต้องชัดเจนว่าเป็นใคร มีตำแหน่งอะไรในโครงการ

    หลักการและเหตุผล
         - แสดงถึงปัญหา ความจำเป็น หรือความต้องการที่ต้องมีการจัดทำโครงการ
        - เพื่อแก้ปัญหา หรือ สนองความต้องการขององค์การ ชุมชน หรือ ท้องถิ่น

     วัตถุประสงค์
        - เป็นข้อความที่แสดงถึงความต้องการที่จะทำในสิ่งต่างๆ
        - ชัดเจนไม่คลุมเครือ สามารถวัดประเมินผลได้
        - มีวัตถุประสงค์มากกว่า 1 ข้อ

       เป้าหมาย
         - แสดงให้เห็นถึงผลงานหรือผลลัพธ์ระบุคุณภาะ หรือปริมาณงานที่คาดว่าจะทำให้เกิดขึ้นตามระยะเวลาที่กำหนดไว้
        - กำหนดผลงานเป็นร้อยละหรือจำแนกที่แสดงปริมาณคุณภาพ

ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ
แบบที่ 1    9.00- 16.00 ใช้เวลา 6 ชั่วโมง
แบบที่ 2    แบบทำต่อเนื่อง

วิธีการดำเนินงาน
- ลำดับขั้นตอนก่อนหลัง
- นำวัตถุประสงค์มาจำแนกแจกแจงเป็นกิจกรรมย่อยหลายกิจกรรม
-  แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ

ผลที่คาดว่าจะได้รับ
        นักศึกษาได้รับความรู้อะไรบ้างจากการทำโครงการ

การติดตามและประเมินผลโครงการ
        แสดงถึงการติดตาม การควบคุม การกำกับและการประเมินผลโครงการเพื่อให้โครงการบรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ

รายงานทางวิชาการ

หมายถึง ผลของการศึกษาค้นคว้าหาความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเป็นระบบแล้วนำมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษรมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ค้นคว้าและมีการวิเคราะห์ข้อมูลพร้อมทั้งเสนอแนะความคิดเห็นที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์

ความสำคัญ
     -  นักศึกษาได้เรียนรู้วิธีการรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ
     -   นักศึกษาพัฒนาความรู้ ความคิดของนักศึกษาแล้วนำมาเสนอ

ขั้นตอนการทำ
   
     - พิจารณาวัตถุประสงค์
     -  กำหนดหัวเรื่อง
     - ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดขอบเขต
     - รวบรวมและบันทึกข้อมูล
     -  วิเคราะห์ข้อมูล (อ่าน และ ตีความ ขยายความ วิเคราะห์ สรุป)
     - เชื่อมโยงข้อมูลให้สัมพันธ์
     - เรียบเรยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ
     - ตรวจสอบความถูกต้อง
    -  จัดทำรูปเล่มให้เหมาะสม

องค์ประกอบของการทำรายงานวิชาการ

   1. ชื่อเรื่อง
   2. ชื่อผู้จัดทำรายงาน
   3. คำนำ
   4. สารบัญ
   5. บทนำ
   6. เนื้อหา
   7.  บทสรุป
   8. บรรณานุกรม


การนำไปใช้

    ทำให้สามารถเขียนโครงการ และรายงานทางวิชาการได้อย่างถูกต้องตามหลักทางวิชาการ
และยังได้ความรู้ใหม่เพิ่มมาอีกว่า ดัชนีชี้วัดความล้มเหลวหรือความสำเร็จของโครงการ คือ กลุ่มเป้าหมาย
    


วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 9

ความรู้ที่ได้รับ

ระเบียบงานสารบรรณ และการเขียนหนังสือราาชการ

        หน้าที่งานสารบรรณ
               1. การจัดทำ
               2. การรับ
               3. การส่ง
               4. การเก็บรักษา
               5. การยืม
               6. การทำลาย

        การจัดทำสำเนา

สำเนาคู่ฉบับ
     จัดทำพร้อมต้นฉบับ เก็บไว้กับเจ้าของเรื่อง ผู้ร่าง ผู้พิมพ์ ผู้ตรวจ ลงชื่อไว้ด้านล่างของหนังสือ

สำเนา
     มีคำรับรองว่าสำเนาถูกต้อง เจ้าหน้าที่ระดับ 2 ขึ้นไป รับรองสำเนาเก็บไว้

ชนิดของหนังสือราชการ

1. หนังสือภายนอก  คือ หนังสือภายนอกราชการ เป็นหนังสือพิธีการ ใช้กระดาษตราครุฑ (หนังสือครุฑหรือหนังสือกลาง)
2. หนังสือภายใน คือ หนังสือภายในกระทรวงและจังหวัดเดียวกัน เป็นหนังสือพิธีการน้อย ใช้กระดาษบันทึกข้อความ
3. บันทึก คือ หนังสือต่ำกว่ากรมลงมาใช้กระดาษบันทึกข้อความหรือกระดาษอื่นๆ
4. หนังสือประทับตรา คือ หนังสือที่ใช้กระดาษตราครุฑ ใช้กรณีเอกสารไม่สำคัญ เช่น เอกสารประทับตราแทนการลงชื่อหัวหน้าส่วนราชการ คำขึ้นต้นมีเฉพาะคำว่า "ที่" และ "ถึง" ไม่มีคำลงท้าย
5. หนังสือสั่งการ เป็นหนังสือประเภท หนังสือคำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ
6. หนังสือประชาสัมพันธ์ เป็นหนังสือประเภท ประกาศ แถลงการณ์ ข่าว
7. หนังสือที่จัดทำขึ้นหรือรับไว้เพื่อเป็นหลักฐานทางราชการ

ปัญหาในการเขียนหนังสือราชการ
        1. ความคิด
        2. ยืดยาว เยิ่นเย้อ
        3. รู้เรื่องคนเดียว
        4. ขาดการประเมิน

หลักการเขียนเนื้อหา
      1. ปัญหา
      2. ข้อเท็จจริง
      3. ข้อพิจารณา
      4. ข้อเสนอ

การเขียนรายงานการประชุม

        ปัญหาในการเขียนรายงานการประชุม
                1. ไม่รู้วิธีดำเนินการประชุมที่ถูกต้อง
                2. ไม่รู้จะจดอย่างไร
                3. ขาดทักษะในการจับประเด็นและสรุปความ
                4. การใช้ภาษาในการจด

         ประโยชน์ของรายงานการประชุม
               1. เป็นหลักฐานการปฎิบัติงาน
               2. เป็นเครื่องมือในการติดตามงาน
               3. ใช้อ้างอิง
               4. เป็นแหล่งข้อมูลข่าวสาร


การนำความรู้ที่ได้ไปใช้

    สามารถเขียนรายงานการประชุมที่ถูกต้องตามหลักของหน่วยงานราชการ ซึ่งแบบฟอร์มรายงานการประชุมสามารถเขียนได้ดังนี้

รายงานการประชุม.....................................................(ชื่อหน่วยงาน)
ครั้งที่.......................................
เมื่อวันที่.................................
ณ...........................................
ผู้มาประชุม....................................................................(ผู้มีสิทธิในการประชุมครั้งนั้น)
ผู้ไม่มาประชุม................................................................
ผู้เข้าร่วมประชุม..............................................................
เริ่มประชุมเวลา.............................................................
ประธานกล่าวเปิดการประชุม........................................
ระเบียบวาระที่ 1 (เรื่อง ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ)
           วิธีการเรียนวาระที่ 1
                   หัวข้อเรื่อง
                   บุคคลนำเข้า
                   เนื้อหา
                   บทสรุป ที่ประชุมรับทราบ

ระเบียนวาระที่ 2 (เรื่อง การรับรองรายงานการประชุมประธานมีหน้าที่นำการประชุม)
           วิธีการเขียน
                  ประธานได้เสนอร่างรายงานการประชุมครั้งที่........เมื่อวันที่..............ให้ที่ประชุมพิจารณา
                  ที่ประชุมพิจารณาแล้วรับรองรายงานการประชุม โดยไม่มีการแก้ไข หรือ แก้ไขดังนี้......................................................

ระเบียบวาระที่ 3 (เรื่อง ที่เสนอให้ที่ประชุมทราบ เลขานุการมีหน้าที่นำการประชุม) เรื่องที่นำเข้ามีดังนี้
            - รายงานผลการปฎิบัติงานที่สืบเนื่องจากการประชุมคร้งที่แล้ว
            -  เรื่องที่สำคัญ หรือ บุคลากรต้องปฎิบัติ
           - เรื่องที่น่าสนใจ

ระเบียบวาระที่ 4 (เรื่องที่เสนอให้ที่ประชุมพิจารณา เลขานุการมีหน้าที่นำเสนอการประชุม)
            วิธีการเขียน
                  หัวข้อเรื่อง
                  ผู้นำเข้า
                  เนื้อหาให้ประกอบด้วย
                       - ประเด็นปัญหา และ ผลกระทบ
                       - ข้อเท็จจริง
                       -  ข้อคิดเห็น
                       -  ข้อเสนอ
                        -  มติที่ประชุม

ระเบียบวาระที่ 5 เรื่องอื่นๆ (ถ้ามี)
           - เป็นเรื่องด่วนและสำคัญ
           - เกิดขึ้นหลังจากที่ออกหนังสือเชิญร่วมประชุมไปแล้ว
          -  เรื่องแจ้งทราบ  พิจารณารับรองราบงานการประชุม และนัดหมายเป็นเรื่องด่วน และสำคัญ

ประธานกล่าวปิดการประชุม...................................................................................
เลิกประชุมเวลา...........................

                                             ..............................................................
                                                           (ผู้จดรายงานการประชุม)

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 8

 ความรู้ที่ได้รับ

     การเขียนจดหมาย

            การกรอกแบบฟรอร์ม
        แบบฟร์อม คือ เอกสารแบบหนึ่งที่เว้นช่องว่างเอาไว้
ประเภทของแบบฟรอร์ม
1 แบบฟรอร์มที่ใช้ติดต่อกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
2 แบบฟรอ์มที่ผู้อื่นขอความร่วมมืิในการกรอก
3 แบบฟร์อมที่ใช้ติดต่อภายในองค์การ
4 แบบฟอร์มสัญญา

จดหมายกิจธุระ

            จดหมายกิจธุระคือจดหมายที่บุคคลติดต่อกับบุคคล เช่น การติดต่อสอบถาม การบอกขายแจ้งรายการสินค้า ใช้ระดับภาษากึ่งทางการในการเขียนจดหมาย

                   จดหมายเปิดผนึก
              จดหมายเปิดผนึก คือ ส่งไปแล้วคนส่วนใหญ่ต้องรู้ เขียนเผยแพร่ต่อสารธารณะชน

                    จดหมายราชการ
              จดหมายราชการ คือ หนังสือราชการเป็นจดหมายที่ติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานราชการ ต้องใช้ภาษาระดับทางการในการเขียน


จดหมายธุระกิจ

ประเภทของจดหมายธุระกิจ
          
           1. จดหมายเปิดเครดิต หรืออเปิดบัญชีสินเชื่อ
           2. จดหมายเสนอขายสินค้าหรือบริการ
           3. จดหมายสอบถามและตอบถาม
           4. จดหมายสั่งซื้อสินค้า และการตอบรับการสั่งซื้อ
           5. จดหมายต่อว่าและปรับความเข้าใจ
           6. จดหมายเตือนหนี้ ทวงหนี้
           7. จดหมายไมตรีจิต แสดงความยินดี เสียใจ ขอบคุณ

รูปแบบจดหมายธุระกิจ

            1. จดหมายธุระกิจแบบราชการ จะใช้รูปแบบของหนังสือราชการที่ภายนอกมีการดัดแปลงมา
            2. จดหมายกิจแบบไทย ใช้รูปแบบที่ดัดแปลงหรือผสมผสาน
            3. จดหมายธุระกิจแบบสากล  ใช้รูปแบบของจดหมายธุรกิจของต่างประเทศ

การเขียนหัวข้อในจดหมาย

           หัวจดหมาย : ชื่อ ที่อยู่
           วัน เดือน ปี :   ไม่ต้องใส่คำว่า วันที่ เดือน พ.ศ.
           เรื่อง           :  เขียนสั้นๆ กะทัดรัด
           คำขึ้นต้น    :  มักใช้คำว่าเรียน
           ข้อความ    :  มักเขียน 2-3 ย่อหน้า
           คำลงท้าย  :  มักลงท้ายด้วยคำว่า ขอแสดงความนับถือ

ความรู้ใหม่ที่ได้รับ
          1. การเขียนบันทึกข้อความจะไม่มีคำลงท้ายว่าขอแสดงความนับถือ
              2. สำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำหนดงานสารบัญ

การนำไปใช้
          ทำให้เราสามารถเขียนจดหมายได้ถูกต้องตามหลักซึ่งการเขียนจดหมายนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับคนที่จะประกอบอาชีพครูในอนาคต





วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 7

ความรู้ที่ได้รับ

        กวีนิพนธ์ หมายถึง การเขียนบทร้อยกรอง

                  การเขียนกวีนิพนธ์ คือ ถ้อยคำสื่อสารอันอาจเป็นสัญลักษณ์หรือการสร้างภาพพจน์เพื่อให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการ

        การเขียนกวีนิพนธ์

1. คำสัมผัสคล้องจอง คือ พยางค์ที่คล้องจองด้วยเสียงของสระหรือเสียงของพยัญชนะ หากคล้องจองด้วยเสียงสระเรียกสัมผัสสระ หากคล้องจองด้วยเสียงพยัญชนะเรียกสัมผัสอักษร

2. สัมผัสนอก  สัมผัสใน
สัมผัสนอก คือ สัมผัสนอกวรรคและนอกบท
สัมผัสใน คือ สัมผัสในวรรคเดียวกัน ซึ่งมีทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษร

3. คำเสียงสูง (จัตวา) เหมาะเป็นคำท้ายสุดของวรรครับของกลอนสุภาพ

4. คำไวพจน์  คือ คำที่มีความหมายอย่างเดียวกันหรือคำพ้องความหมาย

5. คำเอก คำโท
คำเอก คือ คำที่มีรูปเอก (บังคับในโคลงสี่สุภาพ)
คำโท คือ คำที่มีรูปวรรณยุกต์โท
คำเอกโท คือ คำที่ใช้ติดกันมีความหมายสอดคลองกัน เช่น แต่งแต้ม ต่อต้าน ต่อสู้ เป็นต้น

       สรุป

                 การใช้คำคล้องจอง เป็นลักษณะหนึ่งของการเขียนบทร้อยกรอง ซึ่งทำให้เกิดความไพเราะและมีความหมายคำคล้องจองที่ใช้สระตัวเดียวกัน หรือมีตัวสะกดมาตราเดียวกันรูปแบบของคำคล้องจองที่พบโดยทั่วไป มีปริศนาคำทาย สำนวนโวหารและ สำนวนไทย

กาพย์ยานี 11 

               กาพย์ หมายถึง คำประพันธ์ชนิดหนึ่งที่มีการกำหนดคณะพยางค์และสัมผัส เช่นเดียวกับฉันท์ แต่ไม่บังคับ คำครุ-ลหุ

กาพย์ยานี 11 นิยมแต่งในการพรรณนา ดำเนินเรื่องอย่างช้าๆ ลักษณะบังคับมี คณะสัมผัส

สิ่งที่ประทับใจ

        การได้รับรู้ความรู้ใหม่ว่า  วรรณคดี คือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลายาวนาน และต้องเกิดการยอมรับจากผู้คนว่ามีความไพเราะ น่าชื่นชม น่าอ่าน  ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ถึงจะเรียกว่าวรรณคดี เช่น ลิลิตพระลอ รามเกียรติ์ เป็นต้น


วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

ขอให้ประเทศไทยสงบสุข

                                   
                                     กอไผ่รวมสู้ลมไม่ล้มหัก       ปลวกร่วมรักสร้างรังอยู่ดุจภูเขา
                                     เป็นมนุษย์สุดรู้อย่าหูเบา      จงยึดเอาสามัคคีมีสุขเอยฯ

                ประเทศไทยของเรานั้นคุ้นเคยกับคำว่า "สามัคคี" มาตั้งแต่ในอดีตนับว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน เมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไปจิตใจของคนในสังคมก็เริ่มแปรเปลี่ยน แต่เปลี่ยนไปในทางลบ ซึ้งถ้าจิตใจของคนในสังคมเปลี่ยนไปในทางบวกทุกคนในประเทศไทยก็คงจะมีแต่ความสุข
                ปัจจุบันประเทศไทยกำลังประสบกับภาวะวิกฤต ทั้งด้านการเมืองและด้านสังคมซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนในสังคมต้องช่วยกันแก้ไข ถ้าไม่สามารถแก้ไขได้อาจนำไปสู่ภาวะสังคมที่ล่มสลายได้เพราะว่า การขาดความสามัคคี ขาดความเข้าใจซึ่งกันและกันของคนในสังคมนำมาซึ่ง "การแบ่งพรรคแบ่งพวก" สาเหตุของการแบ่งพรรคแบ่งพวกเกิดจากการไม่ลงลอยในความคิดของอีกฝ่าย ทำให้คนภายในสังคม (บางส่วน) นั้นแตกออกเป็นสองขั้ว แต่ละขั้วนั้นมีความคิดที่ขัดแย้งกันอย่างคอขาดบาดตาย จนทำให้เกิดการโกรธเกลียดกัน ซึ่งการแบ่งขั้วออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจนนั้น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสังคมแบบขาวดำ คือ มิตร-ศัตรู กลุ่มบุคคลที่เห็นกลุ่มที่มีความคิดที่แตกต่างจากกลุ่มของตนเองเป็นศัตรูที่ต้องกำจัด และทำลาย เพื่อไม่ให้กลุ่มคนที่มีความคิดต่างจากกลุ่มของตนลุกขึ้นมาต่อต้านอีก  และถ้าสังคมไทยยังตกอยู่สภาวะการขาดความสามัคคีกันอยู่เช่นนี้ เด็กๆรุ่นหลัง คนชรา และ ประชาชนที่ไม่เลือกแบ่งขั้ว จะต้องเห็นสังคมไทยล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา เพราะการขาดความสามัคคีของคนภายในสังคม

                คนทุกคนที่เกิดบนผืนแผ่นดินไทยล้วนแต่รักประเทศของตนเองทั้งสิ้นทุกคนต้องการให้สังคมไทยเกิดความสงบสุข และสิ่งเดียวที่เราต้องการจะขอจากทุกคนในตอนนี้คือคำว่า สามัคคี จงเกิดขึ้นในความคิดของทุกคนในประเทศไทยเราเชื่อว่าทุกคนทำได้ หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "สามัคคี คือ พลัง " ซึ่งหมายถึง ความพร้อมเพรียงกัน ความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้งวิวาทบาดหมางซึ่งกันและกัน เพียงแค่คนในสังคมสามัคคีกันเท่านั้น ประเทศไทยก็จะมีแต่ความสงบ ทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป





นางสาวอัญชฎา  ศรีจำพลัง รหัส 55113400176 ตอนเรียน D1

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ ครั้งที่ 6

ความรู้ที่ได้รับในวันนี้

   ศิลป์ คือ ความงามของภาษา
  ภาพพจน์ คือ ถ้อยคำที่ทำให้เกิดภาพ
  ภาพลักษณ์ คือ แทนตัวเรา แทนสิ่งของ

โวหาร

ความหมายของโวหาร

         โวหารหมายถึงกลวิธีในการใช้ภาษาด้วยการเลือกสรรถ้อยคำมาเรียบเรียงในการการเขียนเรื่องราวต่องๆ หรือพูดให้มีความหมายสละสลวย เหมาะสม ชัดเจน เพื่อให้บรรลุตามจุดประสงค์

ประเภทของโวหาร

      1 บรรยายโวหาร คือ การบอกเล่าเรื่องราวที่เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
      2 พรรณนาโวหาร คือ การเขียนบรรยายที่มุ่งเน้นให้ผู้อ่านเห็นเป็นภาพ มุ่งเน้นให้เห็นอารมณ์ ความรู้สึก
      3 เทศนาโวหาร คือ การแนะนำสั่งสอนให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม
      4 อุปมาโวหาร คือ การเขียนเปรียบเทียบให้เกิดความคมคายให้เห็นภาพ
      5 สาธกโวหาร คือ การยอกตัวอย่างเรื่องราวประกอบเนื้อเรื่อง


ภาพพจน์

       ภาพพจน์คือถอยคำที่เรียบเรียงเป็นสำนวนที่ไม่กล่าวตรงไปตรงมาแต่ทำให้เกิดภาพและถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างกว้างขวาง  

ประเภทของภาพพจน์

        อุปมา คือ การเปรียบเทียบที่คำเชื่อมมีความหมายว่าเหมือน (การเปรียบเหมือน)
        อุปลักษณ์  คือ การกล่าวเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง (เปรียบเป็น)
        อธิพจน์  คือ การกล่าวเกินจริง
        อวพจน์  คือ การกล่าวน้อยกว่าความเป็นจริง
        สัญลักษณ์ คือ การเรียกชสิ่งหนึ่งโดยใช้คำอื่นมาแทน
        นามนัย คือ มีส่วนใดส่วนหนึ่งที่อยู่ในสิ่งเปรียบเทียบด้วย
        สัทพจน์  คือ การเลียนเสียงธรรมชาติ
        บุคคลวัต คือ การทำสิ่งไม่มีชีวิตให้มีชีวิต
        ปฎิพจน์  คือ การใช้คำที่มีความหมายขัดแย้งกันมาเข้าคู่กันอย่างกลมกลืน สร้างความสะเทือนใจ และให้สารลึกซึ้งกินใจ


สิ่งที่ประทับใจและสามารถปรับใช้กับเราได้

           คำว่า ภาพพจน์ ซึ่งแต่ก่อนพูดกับเพื่อนเป็นประจำว่า "เธอพูดแบบนี้เสียภาพพจน์ฉันหมด"
 ซึ้งที่จริงแล้ว การใช้คำว่าภาพพจน์ นั้นผิดมาโดยตลอด สิ่งที่ถูกต้อง คือ ต้องใช้คำว่า ภาพลักษณ์
แทน ซึ่งนับว่าเป็นความรู้ใหม่ที่ได้รับ เมื่อได้รู้ว่าที่ถูกเป็นอย่างไร เราก็จะไม่ใช้คำพูดที่ผิดนั้นอีก